วันพุธที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ทิศ

หน้าง่วงๆเดินทางไปบ้านพระอาทิตย์

เมื่อคืนพี่โจ้โทรมาบอกว่านัดคิวให้ไปสัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวันให้เราได้แล้วคือพรุ่งนี้ตอนสี่โมงเย็น ตอนแกวางหูไปเราเอาโทรศัพท์มาดูนาฬิกาเป็นเวลาเที่ยงคืนกว่า จำเป็นต้องโทรไปลางานพี่ป้อ ณ เวลานั้น

โดนด่าหูแฉะตามคาด มันเป็นเรื่องแน่นอน การโทรมาลางานตอนเกือบตีหนึ่งมันเป็นเรื่องแน่นอนเหมือนเอาแฟนคลับดงบังชินกิชาวไทยไปนั่งกินข้าวกับฮิโระสองต่อสอง แฟนคลับคงปลื้มจนน้ำตาแฉะ แฉะไม่ต่างกะหูเรา

ให้สัมภาษณ์ไปมึนๆ การมาสัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ผู้จัดการถือเป็นข้อได้เปรียบ เพราะนอกจากที่บ้านพระอาทิตย์จะเป็นสำนักงานของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ข้ามไปอีกฟากถนนก็จะเป็นสถานีASTVที่มีชื่อเรียกว่าบ้านเจ้าพระยา นั่นหมายความว่าเราสามารถขอเข้าไปสัมภาษณ์ทางรายการบันเทิงทางทีวีได้อีก รายการที่เข้าไปสัมภาษณ์เป็นรายการบันเทิงที่มีพิธีกรเป็นนักข่าวการเมือง ดังนั้นคำถามที่คุยกันจึงค่อนข้างกว้างกว่าเรื่องงานทั่วไป การได้แสดงแนวคิดทางสังคมผ่านรายการบันเทิงมันเป็นเรื่องที่เราอยากให้สื่อเปิดรับ เพราะบางทีสมองของดารานักร้องก็ไม่ได้มีแต่ข่าวซุบซิบเพียงเท่านั้น

สัมภาษณ์เพลินจนลืมไปว่านัดอัดเพลงกับเจดไว้ เอาโทรศัพท์มาดูก็พบมิสคอลล์กว่าสิบสาย

อยู่ๆชีวิตก็เจอกับปัญหา วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เจดจะอยู่ไทยก่อนที่เธอจะกลับอังกฤษตอนเช้ามืด นั่นแปลว่าถ้าไม่อัดเพลงกับเจดวันนี้ จะกลายเป็นการผิดสัญญาคำโต เรารีบโทรกลับเธอแล้วคอนเฟิร์มเวลานัดตอนทุ่มหนึ่ง คอนเฟิร์มโดยลืมคิดไปว่าเรากำลังอยู่ที่ถนนพระอาทิตย์ เอาโทรศัพท์มาดูนาฬิกาเป็นเวลาห้าโมงกว่า ในชั่วโมงที่รถติดขนาดนี้ การจะไปให้ถึงทองหล่อจากย่านราชดำเนินในเวลาหนึ่งชั่วโมง โอกาสแทบไม่มี

คุณแหม่มทีมงานคนหนึ่งบอกเราว่า ชีวิตมีทางออกเสมอ เธอบอกให้เราเดินไปขึ้นเรือตรงท่าพระอาทิตย์ นั่งเรือไปอีกเจ็ดแปดท่าก็จะถึงสะพานตากสิน นับจากตรงนั้นเราสามารถต่อรถไฟฟ้าไปทองหล่อได้อย่างง่ายดาย การถึงจุดหมายภายในหนึ่งชั่วโมงจึงไม่ใช่เรื่องฝันไป เราลิงโลดกระหยิ่มยิ้มย่อง ในใจคิดว่านอกจากจะเร็วแล้วยังเป็นโอกาสดีที่จะได้นั่งเรือชมเจ้าพระยา เย็นๆแบบนี้คงสวยเป็นพิเศษ

พระอาทิตย์ตกน้ำ ที่ไหนจะสวยเท่าที่เจ้าพระยา

ยืนรอเรือไม่ถึงห้านาทีเรือก็แล่นมารับอย่างรู้ใจ อยากสรรเสริญกรมราชนาวีที่อำนวยความสะดวกให้กับประชาชนยามเร่งรีบ ทิวทัศน์สองข้างทางยิ่งทำให้อภิรมณ์นัก แสงอาทิตย์ยามเย็นส่องตกกระทบบ้านเรือนสมัยกลางรัตนโกสินทร์หลายๆหลัง ดูคลาสสิคอะไรขนาดนี้ เด็กชาวบ้านที่มีบ้านติดน้ำก็พากันกระโดดตีลังกาลงน้ำอย่างสนุกสนานชวนให้คิดถึงบทเรียนภาษาไทยสมัยก่อนที่ว่าชีวิตคนไทยล้วนผูกพันกะแม่น้ำ ดูนั่นสิวัดริมน้ำสวยอย่างบอกไม่ถูก ดูนั่นสิเรือพ่วงขนหินลำยักษ์ช่างดูยิ่งใหญ่ ดูนั่นสิป้ายเขตชลประทานนนทบุรี นั่นบ่งบอกว่าแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นแม่น้ำที่ไหลยาวหล่อเลี้ยงผู้คนมากมาย

"เขตชลประทานนนทบุรี!! ทำไมการไปสะพานตากสินมันต้องผ่านนนทบุรีด้วยวะ" เรารำพึงในใจ

อดทนนั่งเรือต่อไป ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็ถึงสะพานตากสิน การชลประทานอาจติดป้ายผิด กรุงเทพฯ นนทบุรีใกล้ๆกัน ใช้ป้ายร่วมกันได้ ไม่ถือ

ชั่วอึดใจ เสียงเด็กเรือตะโกนบอก "ท่าน้ำโนนนนน" นั่นหมายถึงการชลประทานติดป้ายไม่ผิด

"ท่าน้ำนน มันกลางเมืองนนทบุรี ทำไมการไปสะพานตากสินมันต้องผ่านกลางเมืองนนทบุรีด้วยวะ ไอ้เหี้ย!"

เราจำเป็นต้องอุทานในใจเป็นคำหลัง เพราะเด็กเรือตะโกนต่อไปว่า "สุดสายยยยยยยยยย"

"ลุงครับ แล้วสะพานตากสินล่ะครับ อยู่ไหน"

"อ๋อ คุณนั่งเรือมาผิดทิศ ต้องไปทิศตรงกันข้าม"

"แล้วต้องนั่งกลับไปไกลมั้ยครับ"

"สะพานตากสินก็อยู่สุดสายของอีกฟากล่ะครับ"

......................................................................

พระอาทิตย์ตกเจ้าพระยาไปนานแล้ว วันนี้ดูไม่ค่อยสวยยังไงไม่รู้

บ้านเรือน วัดวาอารามตอนกลางคืนดูมืดๆ เด็กเล่นน้ำเมื่อกี้ป่านนี้คงปะแป้งกินข้าวปลาไปอิ่มหมี

เรานั่งหิวข้าวอยู่บนเรือ ไม่อยากชื่นชมกะทิวทัศน์ใดๆ ได้แต่โทรบอกเจดเสียงเศร้าๆว่าคงไปถึงราวสามทุ่ม


คิดถึงคำพูดของคุณแหม่มที่บอกว่า"ชีวิตมีทางออกเสมอ"

เราลืมคิดไปว่าหลังจากก้าวผ่านธรณีประตูที่เรียกว่าทางออกนั้น ยังต้องเจอกับคำว่าซ้ายและขวา


..ทางออกไม่ได้แปลว่า เมื่อก้าวเข้าไปแล้ว เราไม่จำเป็นต้องเลือกทิศ

1 ความคิดเห็น:

  1. 555 ฮาค่ะ
    ตอนนั้นคงเครียด
    แต่อ่านตอนนี้แล้วขำภาษาค่ะ
    ...ชีวิตมีทางออก แต่ทิศไหนละค้าบเพ่..

    ตอบลบ